เมนู

วรรควรรณนาที่ 4
อรรถกถาคหวรตีริยเถรคาถา


คาถาของพระคหวรตีริยเถระเริ่มต้นว่า ผฺฏโฐ ฑํเสติ. เรื่องราว
เป็นอย่างไร.
ได้ยินว่า ท่านมีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี ในกัปที่ 31 แต่
ภัทรกัปนี้ (เกิด) เป็นนายพรานเนื้อ เที่ยวไปในป่าได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า สิขี ทรงแสดงธรรมแก่เทวดา นาค และยักษ์ทั้งหลายที่โคน
ต้นไม้แห่งใดแห่งหนึ่ง. ก็ครั้นเห็นแล้ว ก็มีจิตเลื่อมใส ได้ถือเอานิมิตใน
เสียงว่า ธรรมนี้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ ด้วยการที่มีจิตเลื่อมใสนั้น
ท่านเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปๆ มา ๆ อยู่ในสุคติภพนั่นแหละอีก แล้วเกิด
ในตระกลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า
อัคคิทัตตะ เจริญวัยแล้ว เห็นยมกปาฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เกิด
ความเลื่อมใส บวชในพระศาสนา เรียนกรรมฐาน อยู่ในราวป่า ชื่อว่า
" คหวรตีระ" ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้นามว่า " คหวรตีริยะ."
ท่านเจริญวิปัสสนาแล้ว บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดัง
คาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อก่อน เราเป็นพรานเนื้อ เที่ยวอยู่ในป่าอัน
สงัดเงียบ ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี อัน
หมู่เทวดาห้อมล้อม กำลังทรงประกาศสัจจะ 4 ทรง

แสดงอมตบท เราได้สดับธรรมอันไพเราะของพระ-
พุทธเจ้า ผู้เผ่าพันธุ์ของโลก พระนามว่า สิขี เรายัง
จิตให้เลื่อมใสในพระสุรเสียง เรายังจิตให้เลื่อมใสใน
พระองค์ ท่านผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอเหมือนแล้ว
ข้ามพ้นภพที่ข้ามได้ยาก ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้
เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เรา
ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในเสียง. เราเผา
กิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรา
กระทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระนั้น ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ได้ไปสู่พระนครสาวัตถีแล้ว. ญาติทั้งหลายพึงข่าวว่าท่านมาแล้ว
พากันเข้าไปหา บำเพ็ญมหาทานแล้ว. ท่านพักอยู่ชั่ววันเล็กน้อย ประสงค์จะ
กลับไปสู่ป่านั่นอีก. ญาติทั้งหลายได้พูดกะท่านว่า ท่านเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่าป่า
มีอันตรายมาก ด้วยสามารถแห่งยุงและเหลือบเป็นต้น ขอท่านจงอยู่ในที่นี้
แหละ. พระเถระฟังดังนั้นแล้ว กล่าวว่า ป่าอย่างเดียวเท่านั้น เป็นที่ชอบใจ
ของเรา เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล ด้วยมุขคือการประกาศความยินดีใน
วิเวก ได้ภาษิตคาถาว่า
บุคคลถูกยุงและเหลือบกัดแล้ว ในป่าใหญ่
พึงเป็นผู้มีสติ อดทนต่อสัมผัสแห่งยุงและเหลือบใน
ป่าใหญ่นั้น เหมือนช้างอดทนต่อการถูกอาวุธใน
สงคราม ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผุฏฺโฐ ฑํเสติ มกเสหิ ความว่า
บุคคลที่ถูกแมลงที่แฝงตัวอยู่ในความมืด อันได้นามว่า ยุง เพราะชอบกัด
และสัตว์ที่มีปากคมเหมือนเข็ม ที่รู้จักกันว่าเหลือบ สัมผัสดือกัดแล้ว.
บทว่า อรญฺญสฺมึ ความว่า ชื่อว่าในป่า เพราะประกอบด้วยลักษณะ
ของป่า อันท่านกล่าวไว้ว่า หลังจากหมู่บ้านไป 500 ช่วงธนู.
บทว่า พฺรหาวเน ความว่า ในป่าใหญ่ชื่อว่า อรัญญานี เพราะ
รกชัฏไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และสุมทุมพุ่มพฤกษ์.
บทว่า นาโคว สงฺคามสีเสว ความว่า เหมือนช้างตัวประเสริฐ
ที่เข้าสู่สงคราม อดทนการถูกอาวุธของทหารฝ่ายข้าศึกในสนามรบ. บุคคลผู้
เกิดอุตสาหะว่า ขึ้นชื่อว่าการอยู่ป่า อันบัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ทรงสรรเสริญแล้ว ชมเชยแล้ว ดังนี้ ชื่อว่า สโต คือเป็นผู้มีสติในที่นั้น
คือในป่าใหญ่นั้น. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสัมผัสแห่งยุงเป็นต้นนั้นปรากฏแล้ว
พึงอดทนคืออดใจ ได้แก่อดกลั้น. อธิบายว่า ไม่พึงละการอยู่ป่าเสีย ด้วยคิดว่า
ยุงเป็นต้น เบียดเบียนเรา ดังนี้.
จบอรรถกถาคหวรตีริยเถรคาถา

2. สุปปิยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสุปปิยเถระ


[169] ได้ยินว่า พระสุปปิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
บุคคลผู้มีความเพียร ถึงจะแก่ แต่เผากิเลสให้
เร่าร้อน พึงบรรลุนิพพานอันไม่รู้จักแก่ ไม่มีอามิส
เป็นธรรมสงบอย่างยิ่ง เกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม.


อรรถกถาสุปปิยเถรคาถา


คาถาของท่านพระสุปปิยเถระเริ่มต้นว่า อชรํ ชีรมาเนน. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
ท่านเกิดในเรือนมีตระกูล บวชเป็นดาบส อยู่ในราวป่า เห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ในราวป่านั้น มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลาผล แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
และแก่ภิกษุสงฆ์.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
แล้วเกิดในตระกูลกษัตริย์ ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
กัสสปะ ถึงความเป็นผู้รู้โดยลำดับ ได้ความสังเวช โดยอาศัยคบหากัลยาณมิตร
บวชในพระศาสนา ได้เป็นพหูสูต ท่านทั้งยกตน ทั้งข่มผู้อื่น เพราะความ
เมาในชาติ และเพราะความเมาใน สุตะ อยู่แล้ว.